เรื่องโดย ศุภวิชญ์ จันทน์ขาว
การเกษตรเป็นอุตสาหกรรมที่สำคัญของประเทศไทย เห็นได้จากจำนวนแรงงานที่มากกับการเป็นผู้ส่งออกสินค้าเกษตรในอันดับต้นๆ ของโลก แต่เกษตรกรส่วนใหญ่ยังคงมีรายได้ต่ำและการเข้าถึงแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ก็กำลังเป็นเรื่องท้าทาย ทั้งนี้ หลักเศรษฐกิจหมุนเวียนเป็นทางออกหนึ่ง ซึ่งจะนำการเกษตรของไทยไปสู่ความยั่งยืนได้
ทำเกษตรเพื่ออาหารแต่ส่งผลมหาศาลต่อโลก
ประชากรโลกที่เพิ่มจำนวนหลายเท่าในศตวรรษที่ผ่านมาทำให้เกิดความต้องการอาหารเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ปัจจุบันครึ่งหนึ่งของบริเวณที่อยู่อาศัยได้บนโลกถูกใช้เป็นพื้นที่ทำการเกษตรเพื่อผลิตอาหาร โดยอุตสาหกรรมการเกษตรนั้นใช้ทรัพยากรธรรมชาติมากมาย ซึ่งมีส่วนทำลายสิ่งแวดล้อม รวมถึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนด้วย
- ปุ๋ยและยา การเติบโตของภาคการเกษตรทั่วโลกทำให้มีการใช้เพิ่มขึ้นของปุ๋ยเคมีและยากำจัดศัตรูพืช โดยปริมาณการใช้ปุ๋ยเคมีนั้นเพิ่มขึ้นจาก 12 ล้านตัน เมื่อปี พ.ศ. 2504 เป็น 110 ล้านตัน ในปี พ.ศ. 2561 ซึ่งหมายถึงต้นทุนที่เพิ่มขึ้นของเกษตรกรอีกด้วย
- น้ำ ภาคการเกษตรมีความต้องการใช้น้ำในปริมาณมากถึงร้อยละ 70 ของการใช้น้ำจืดทั่วโลก ขณะเดียวกันภัยแล้ง การจัดการทรัพยากรน้ำอย่างไม่มีประสิทธิภาพ ตลอดจนมลพิษทางน้ำจากการปนเปื้อนของปุ๋ยและยา ซึ่งใช้ทำการเกษตร ก็อาจส่งผลให้เกิดภาวะขาดแคลนน้ำสะอาดได้เช่นกัน
- ดิน ขณะนี้หนึ่งในสี่ของดินทั่วโลกกำลังสูญเสียความอุดมสมบูรณ์จากการทำการเกษตร ส่วนหนึ่งเกิดจากการใช้ปุ๋ยและยา ซึ่งส่งผลให้ผลผลิตทางการเกษตรและรายได้จากภาคการเกษตรนั้นลดลง ตามมาด้วยการรุกพื้นที่ป่า
- พื้นที่ทำการเกษตร การรุกแหล่งที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติเพื่อทำการเกษตร ทำให้ป่าไม้ทั่วโลกถูกทำลายมากขึ้นกว่าร้อยละ 20 ระหว่างปี พ.ศ. 2533 – 2558 ส่งผลให้สิ่งมีชีวิตในป่าถูกคุกคามจนเกิดการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ
นอกจากนี้ กิจกรรมทางการเกษตรยังก่อให้เกิดของเสียมหาศาล รวมถึงปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่าร้อยละ 30 ของปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก ซึ่งก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน
เกษตรกรรมหมุนเวียนเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ดีกว่า
เกษตรกรรมหมุนเวียน (Circular Farming หรือ Circular Agriculture) เพื่อการผลิตอาหารนั้นมุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอันมีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด นำไปสู่การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการเพิ่มผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ได้ดังนี้
- ลดของเสีย เศษพืชที่เหลือทิ้งจากการเกษตร ส่วนที่เหลือจากการตัดแต่งอาหาร และมูลสัตว์ สามารถนำไปหมักทำก๊าซชีวภาพเอาไว้ใช้เป็นพลังงานทดแทน หรือหมักทำปุ๋ยอินทรีย์ ซึ่งช่วยลดการใช้ปุ๋ยเคมี นำไปสู่การรักษ์น้ำและดิน รวมถึงช่วยลดค่าใช้จ่ายในการทำการเกษตร
- ประหยัดน้ำ ระบบชลประทานช่วยพัฒนาประสิทธิภาพในการใช้น้ำในพื้นที่การเกษตร ส่วนการปลูกผักแบบไม่ใช้ดิน ที่เรียกว่า อะควาโพนิกส์ เป็นการปลูกผักพร้อมกับเลี้ยงปลาไปด้วยในระบบปิด โดยเอาน้ำที่อุดมด้วยแร่ธาตุไนโตรเจนจากการขับถ่ายของเสียของปลาและเป็นที่ต้องการของพืชนั้นกลับมาหมุนเวียนใช้ในการปลูกผัก จากนั้นก็เอาน้ำที่ผ่านการปลูกผักนั้นกลับไปใช้เลี้ยงปลาได้อีก
- ฟื้นฟูดิน การปลูกพืชคลุมดินช่วยป้องกันการชะล้างหน้าดิน ทำให้ดินยังคงความอุดมสมบูรณ์ทั้งแร่ธาตุ ความชุ่มชื้น สารอินทรีย์ และจุลินทรีย์ ซึ่งช่วยเพิ่มผลผลิตขณะที่ลดความจำเป็นในการใช้ปุ๋ยเคมีและยากำจัดศัตรูพืช
- ปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ ความอุดมสมบูรณ์ของน้ำและดิน ทำให้สิ่งมีชีวิตเจริญเติบโตได้ดีขึ้น จึงป้องกันการมิให้เกิดการรุกแหล่งที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติเพื่อทำพื้นที่การเกษตร
- รับมือกับโลกร้อน การใช้ทรัพยากรอย่างเป็นระบบด้วยวิธีต่างๆ ในข้างต้นช่วยลดอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น ลดคาร์บอนไดออกไซด์จากการเผาขยะทางการเกษตร
- สร้างความมั่นคงทางอาหาร ทรัพยากรธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ในพื้นที่ทำการเกษตร และการพึ่งพาที่ลดลงของปัจจัยภายนอกอย่างปุ๋ยเคมีและยากำจัดศัตรูพืช ส่งผลให้ความมั่นคงทางอาหารนั้นมีเพิ่มมากขึ้น
- กระตุ้นเศรษฐกิจ เกษตรกรรมหมุนเวียนนั้นนอกจากจะช่วยเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรและลดค่าใช้จ่ายในการซื้อปุ๋ยเคมีและยากำจัดศัตรูพืชแล้ว ก็ยังช่วยสร้างอาชีพใหม่และรายได้ให้กับเกษตรกรจากกิจกรรม อาทิ แปรรูปผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร แปรรูปพลังงานชีวมวล ฯลฯ
หลากหลายแนวคิดการเกษตรสู่ความยั่งยืน
ในประเทศไทยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีการขับเคลื่อนภาคการเกษตรด้วยโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี โดยนโยบายด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนจะเน้นการใช้ทรัพยากรทางการเกษตรให้คุ้มค่าอย่างเต็มประสิทธิภาพ รวมถึงสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เพื่อลดขยะของเสียในภาคการเกษตรให้เป็นศูนย์
ในทางปฏิบัติแล้วแนวคิดเกษตรกรรมหมุนเวียนคล้ายคลึงกับแนวคิดเกษตรกรรมยั่งยืน (Sustainable Agriculture) ซึ่งเป็นระบบการเกษตรที่เน้นความสมดุลระหว่างเศรษฐกิจและสังคมกับระบบนิเวศ รวมทั้งชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกรและผู้บริโภค ตัวอย่างเช่น
- เกษตรอินทรีย์ (Organic Agriculture) ทำเกษตรโดยใช้ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก และจุลินทรีย์ รวมถึงควบคุมศัตรูพืชด้วยวิธีทางกายภาพและชีวภาพ ไม่ใช้ปุ๋ยเคมีหรือยากำจัดศัตรูพืช เพื่อฟื้นฟูน้ำและดิน ได้ผลผลิตที่ปลอดภัยต่อผู้บริโภค
- วนเกษตร (Agroforestry) จัดการพื้นที่การเกษตรให้สามารถใช้ประโยชน์ร่วมกันได้ร่วมกับป่าไม้ เพื่อรักษาพื้นที่ป่าไม้และเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ เช่น ปลูกพืชเศรษฐกิจที่เหมาะสมแซมในพื้นที่ป่าแทนการบุกรุก
- เกษตรผสมผสาน (Integrated Farming) ปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ในพื้นที่เดียวกัน เพื่อจัดการให้มีการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรอย่างเป็นวงจร เช่น ปลูกพืชตระกูลถั่วเพื่อตรึงไนโตรเจนในดิน หมักมูลสัตว์เป็นปุ๋ยของพืช และเลี้ยงปลาในนาข้าว
เกษตรกรรมหมุนเวียนและเกษตรกรรมยั่งยืน ยังประกอบด้วยแนวคิดที่หลากหลาย ทั้งเกษตรธรรมชาติ เกษตรทฤษฎีใหม่ เกษตรมูลค่าสูง เกษตรอัจฉริยะ เกษตรแม่นยำ ฯลฯ ซึ่งเน้นใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติอย่างรู้คุณค่า รวมถึงนำเทคโนโลยีมาใช้ในการจัดการทรัพยากรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยแต่ละแนวคิดมีจุดเด่นที่แตกแตกกันออกไป แต่มีเป้าหมายเดียวกันคือเพื่อความยั่งยืน
แหล่งข้อมูล
- รายงานสรุปเชิงนโยบายเรื่อง Circular Agriculture for Sustainable Rural Development โดย United Nations
- เอกสารเรื่องแนวทางการขับเคลื่อนการส่งเสริมการเกษตรด้วย BCG Model แบบบูรณาการเชิงพื้นที่ โดยกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
- เอกสารเรื่องเกษตรกรรมยั่งยืน (Sustainable Agriculture) โดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
https://www.nesdc.go.th/ewt_w3c/ewt_dl_link.php?nid=2700
- บทความเรื่อง How to Run a Profitable Circular Farm: One-acre Farm โดย The Ellen MacArthur Foundation
https://www.ellenmacarthurfoundation.org/circular-examples/one-acre-farm
- บทความเรื่อง Circularity in Agriculture: Transforming Farming for Sustainability and Resilience โดย TraceX Technologies
https://tracextech.com/circularity-in-agriculture/#
- บทความเรื่อง What is Circular Farming? โดย Ashfount Investments
https://www.ashfount.com/sustainability/what-is-circular-farming/