Metal Foam

เรื่องโดย ดร.ภัสร์ชาพร จินะ

คำว่า “โฟม” กับ “โลหะ” เป็นคำเรียกถึงวัสดุ 2 อย่างที่เมื่อได้ยินชื่อเรียกก็จะสามารถคิดถึงคุณสมบัติเฉพาะตัวของวัสดุได้ แต่เมื่อนำมารวมกันเป็นวัสดุใหม่ที่เรียกว่า โฟมโลหะ หรือ Metal Foam จึงเป็นวัสดุที่มีคุณสมบัติในด้านความแข็งแรงที่เหมือนโลหะแต่น้ำหนักเบาเหมือนโฟม อีกทั้งยังมีคุณสมบัติการนำความร้อนได้ดี และทนต่อแรงกระแทกได้อีกด้วย โฟมวัสดุนี้จึงได้รับความสนใจในการนำมาประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมได้หลากหลาย เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมการบินและอวกาศ อุตสาหกรรมก่อสร้าง และแม้แต่ในงานทางด้านการแพทย์

โฟมโลหะคืออะไร?

โฟมโลหะ หรือ Metal Foam เป็นวัสดุที่มีโครงสร้างคล้ายฟองน้ำ ซึ่งเกิดจากการมีรูพรุนจำนวนมากกระจายอยู่ภายในเนื้อโลหะ วัสดุยิ่งมีความพรุนมากเท่าไร ก็ยิ่งมีพื้นที่ผิวมากขึ้นเท่านั้น โครงสร้างของโฟมโลหะจะขึ้นอยู่กับกระบวนการผลิตและชนิดของโลหะ เช่น อะลูมิเนียม ไทเทเนียม แมกนีเซียม เหล็ก และทองแดง เป็นต้น โดยทั่วไปสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

  • Open-cell Metal Foam: มีโครงสร้างรูพรุนเชื่อมถึงกัน ทำให้สามารถระบายของเหลวหรือแก๊สผ่านได้ดี เหมาะกับนำไปใช้งานที่ต้องการการถ่ายเทพลังงานหรือสาร
  • Closed-cell Metal Foam: มีโครงสร้างรูพรุนแบบปิดที่ไม่เชื่อมถึงกัน ทำให้มีความสามารถในการลอยน้ำและดูดซับแรงกระแทกสูงกว่า

คุณสมบัติเด่นของโฟมโลหะ

  • น้ำหนักเบา: การมีรูพรุนกระจายตัวอยู่ภายในเนื้อของโลหะเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้วัสดุชนิดนี้มีความหนาแน่นน้อยกว่าวัสดุโลหะทั่วไปอย่างมาก จนสามารถลอยน้ำได้
  • แข็งแรงและทนทาน: แม้จะมีรูพรุนในเนื้อโลหะและน้ำหนักเบากว่าโลหะทั่วไป แต่ก็ยังมีคุณสมบัติความแข็งแรงจำเพาะ (Specific Strength) สูงเมื่อเทียบกับน้ำหนัก ทำให้ความสามารถในการรับแรงกระแทกและแรงกดทับได้ดีเหมือนคุณสมบัติของโลหะ
  • การคายความร้อนและเย็นตัวอย่างรวดเร็ว: การที่วัสดุมีพื้นที่ผิวสูง (High Surface Area) ทำให้เกิดการคายความร้อนและเย็นตัวลงได้อย่างรวดเร็ว
  • ความสามารถในการดูดซับ (Absorption): โฟมโลหะมีความสามารถพิเศษในการดูดซับของเหลว เช่น น้ำ น้ำมัน สารเคมี ได้อย่างเฉพาะเจาะจงคล้ายฟองน้ำ และความสามารถในการดูดซับพลังงาน เหมาะสมสำหรับการใช้งานเป็นระบบป้องกันแรงกระแทกหรือเกี่ยวกับความปลอดภัย เช่น โครงสร้างกันกระแทกในรถยนต์
  • ความต้านทานความร้อนและไฟ: มีคุณสมบัติไม่ติดไฟ และสามารถต้านทานอุณหภูมิสูงได้ดี
  • คุณสมบัติแม่เหล็กและการนำไฟฟ้า: โฟมโลหะเป็นวัสดุที่ทำจากโลหะบริสุทธิ์ เช่น เหล็ก ทองแดง หรือ นิกเกิล จึงยังคงคุณสมบัติความเป็นแม่เหล็กหรือการนำไฟฟ้าของโลหะไว้ได้
  • คุณสมบัติทางเสียงและการสั่นสะเทือน: ด้วยโครงสร้างของรูพรุนจะสามารถช่วยลดเสียงและแรงสั่นสะเทือนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับขนาดของรูพรุน ความหนาแน่น และชนิดของโลหะพื้นฐาน (Metal Matrix)
  • การเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม: โฟมโลหะสามารถนำมารีไซเคิลได้ จึงสามารถใช้ซ้ำได้ ไม่ก่อให้เกิดขยะที่ทำลายสิ่งแวดล้อม

กระบวนการผลิตโฟมโลหะ

โฟมโลหะผลิตขึ้นได้จากการหลอมโลหะ ซึ่งจะทำให้เกิดฟองก๊าซในเนื้อโลหะที่หลอมเหลว แต่ฟองก๊าซเหล่านี้มักจะลอยขึ้นสู่ผิวเนื่องจากแรงลอยตัว เพื่อป้องกันการลอยตัวขึ้นของฟองก๊าซ จึงต้องมีการเพิ่มความหนืดของโลหะหลอมเหลวโดยการเติมผงเซรามิกละเอียดหรือธาตุผสมเข้าไปด้วย โดยวิธีการทำให้โลหะหลอมเหลวเกิดโฟมมีอยู่ 3 วิธีหลัก คือ

Foaming of Metallic Melts using Gas Injection: การทำโฟมโลหะจากการฉีดก๊าซเข้าไปในโลหะเหลวเพื่อให้เกิดฟองก๊าซภายในเนื้อโลหะ ซึ่งทำให้เมื่อโลหะแข็งตัวแล้วจะมีลักษณะเป็นโลหะพรุน (Porous Metal) คล้ายฟองน้ำ โดยมีขั้นตอนดังนี้

  1. หลอมโลหะให้เป็นของเหลว ในเตาหลอมที่อุณหภูมิสูง
  2. เติมผงเซรามิกละเอียด เช่น ซิลิคอนคาร์ไบด์ (SiC) อะลูมิเนียมออกไซด์ (Al2O3) หรือ แมกนีเซียมออกไซด์ (MgO) เพื่อเพิ่มความหนืดของโลหะหลอมเหลว โดยอนุภาคเหล่านี้ช่วย “กักเก็บ” ฟองก๊าซเอาไว้ภายในโลหะเหลวหลอม ไม่ให้ฟองลอยขึ้นสู่ผิวโลหะหรือรวมตัวกันเร็วเกินไป
  3. ฉีดก๊าซเข้าไปในโลหะหลอม โดยใช้ก๊าซเฉื่อย เช่น ไนโตรเจน (N2) อาร์กอน (Ar) หรือแม้แต่อากาศธรรมดา ซึ่งก๊าซที่ถูกฉีดเข้าไปในโลหะหลอมผ่านอุปกรณ์พิเศษที่อาจเป็นหัวฉีดแบบสั่น (Vibrating Nozzles) หรือ ใบพัดหมุน (Rotating Impellers) โดยก๊าซที่ถูกฉีดเข้าไปจะก่อให้เกิดฟองเล็ก ๆ กระจายทั่วโลหะหลอม ทำให้เกิดลักษณะคล้ายโฟม
  4. ควบคุมการกระจายของฟองก๊าซโดยผสมก๊าซลงไปอย่างคงที่สม่ำเสมอ เพื่อให้ฟองก๊าซกระจายตัวทั่วเนื้อโลหะ และมีรูพรุนสม่ำเสมอทั่วถึง
  5. เย็นตัวและแข็งตัว เมื่อโฟมโลหะหลอมที่มีฟองก๊าซอยู่ภายในเย็นตัวลง มันจะเริ่มแข็งตัว และฟองก๊าซที่กักเก็บไว้จะคงรูปเป็นรูพรุนในเนื้อโลหะ กลายเป็นโฟมโลหะแข็ง

การผลิตโฟมโลหะด้วยวิธี Foaming of Metallic Melts using Gas Injection มีข้อดีที่สามารถควบคุมขนาดรูพรุนได้ดี ใช้ได้กับโลหะหลายประเภท และเหมาะสำหรับผลิตในระดับอุตสาหกรรม ซึ่งปัจจุบันวิธีนี้ถูกใช้ผลิตโฟมจากอะลูมิเนียมและโลหะผสมอะลูมิเนียม โดยบริษัท Cymat Aluminium Corporation ในประเทศแคนาดา และ บริษัท Hydro Aluminium ในประเทศนอร์เวย์

  • Foaming of Melts with Blowing Agents: เป็นวิธีการทำโฟมโลหะโดยไม่ต้องฉีดก๊าซจากภายนอก แต่เติมสารซึ่งมีคุณสมบัติเป็น Blowing Agent ที่สามารถปล่อยก๊าซได้เองเมื่อถูกความร้อนลงในโลหะหลอมเหลว ซึ่งจะทำให้เกิดฟองก๊าซภายในเนื้อโลหะในขณะที่ยังอยู่ในสภาพหลอมเหลวหรือกึ่งแข็ง โดยมีขั้นตอนดังนี้
    1. หลอมโลหะให้เป็นของเหลว ในเตาหลอมที่อุณหภูมิสูง
    2. เติมโลหะหรือสารเพิ่มความหนืด เพื่อปรับความหนืดให้เหมาะสมกับการกักเก็บฟองก๊าซ
    3. เติม Blowing Agent เมื่อสารนี้ถูกความร้อนจะสลายและปล่อยก๊าซออกมาในโลหะหลอม ฟองก๊าซที่เกิดขึ้นจะกระจายตัวภายในโลหะหลอมทำให้เกิดโครงสร้างโฟม จากนั้นโลหะจะเริ่มพองตัวช้า ๆ และขยายขนาดขึ้นในภาชนะที่เป็นแม่พิมพ์ (Foaming Vessel) โดยขั้นตอนนี้จะต้องควบคุมให้กระบวนการเกิดขึ้นภายใต้ความดันคงที่ เพื่อให้ฟองก๊าซมีขนาดสม่ำเสมอ
    4. การทำให้แข็งตัว (Solidify) เมื่อโลหะหลอมที่กลายเป็นโฟมเย็นลงต่ำกว่าจุดหลอมเหลว โครงสร้างโฟมจะ “แข็งตัว” กลายเป็น โฟมโลหะแข็ง จากนั้นสามารถนำออกจากแม่พิมพ์เพื่อนำไปใช้งานหรือแปรรูปต่อได้

การผลิตโฟมโลหะด้วยวิธี Foaming of Melts with Blowing Agents มีข้อดีที่ไม่ต้องใช้อุปกรณ์ฉีดก๊าซที่ซับซ้อน ควบคุมได้ง่ายในระดับห้องปฏิบัติการหรือโรงงานขนาดกลาง และเหมาะกับการผลิตโฟมที่ต้องการโครงสร้างละเอียด และรูพรุนสม่ำเสมอ ซึ่งปัจจุบันบริษัท Shinko Wire เมืองอามากาซากิ ประเทศญี่ปุ่น ใช้วิธีนี้ในการผลิตโฟมอะลูมิเนียมที่มีรูพรุนสม่ำเสมอ เหมาะสำหรับงานที่ต้องการวัสดุเบาแต่แข็งแรง

  • Solid-Gas Eutectic Solidification: เป็นกระบวนการผลิตโลหะโฟมที่เกิดปฏิกิริยายูเทคติก (Eutectic Reaction) ระหว่างโลหะเหลวกับก๊าซไฮโดรเจนภายใต้ความดันสูง กระบวนการนี้จะทำให้เกิดรูพรุนที่มีทิศทางแน่นอนและต่อเนื่องตามทิศทางการแข็งตัวของโลหะ โดยเรียกวัสดุรูพรุนที่ผลิตจากกระบวนการนี้ว่า “กาซาร์” (Gasar) ที่มาจากคำว่า “Gas-reinforced” โดยมีขั้นตอนดังนี้
    1. หลอมโลหะภายใต้บรรยากาศของก๊าซไฮโดรเจนแรงดันสูง ซึ่งโลหะหลอมจะดูดซับก๊าซไฮโดรเจนเข้าไปจนได้สารละลายที่มีสารผสมระหว่างไฮโดรเจนอยู่ในโลหะเหลว วิธีการนี้ใช้ได้เฉพาะก๊าซที่สามารถเกิดระบบยูเทคติกกับก๊าซไฮโดรเจนได้ เช่น นิกเกิล (Ni) ทองแดง (Cu) เป็นต้น
    2. เมื่อได้สารละลายแล้ว ควบคุมการลดอุณหภูมิลงอย่างช้า ๆ จนถึงอุณหภูมิที่เป็นจุดยูเทคติก โลหะหลอมจะเปลี่ยนผ่านแบบยูเทคติกไปเป็นระบบของแข็งและก๊าซ และเกิดการแยกตัวหรือแยกเฟส (Segregation) ที่อุณหภูมิเฉพาะ
    3. ไฮโดรเจนที่ละลายอยู่จะเริ่มเกิดเป็นฟองก๊าซในขณะที่โลหะเริ่มแข็งตัว โดยโลหะจะเกิดการแข็งตัวจากด้านล่างขึ้นบนหรือทิศทางใดทิศทางหนึ่งโดยฟองก๊าซจะตกผลึกและติดอยู่ภายในเนื้อโลหะในทิศทางเดียวกัน ทำให้เกิดรูพรุนที่เรียงตัวอย่างเป็นระเบียบ
    4. เมื่อโลหะแข็งตัวเต็มที่จะได้โลหะที่มีรูพรุนภายใน ซึ่งรูพรุนจะมีลักษณะยาว เรียงตัวตามทิศทางการแข็งตัว โดยสามารถควบคุมขนาดและความถี่ของรูพรุนได้ด้วยการปรับอุณหภูมิ ความดัน และความเร็วในการแข็งตัว

การผลิตโฟมโลหะด้วยวิธี Solid-Gas Eutectic Solidification มีข้อดีที่สามารถได้โฟมโลหะที่มีรูพรุนเรียงตัวอย่างเป็นระเบียบ สามารถควบคุมขนาดของรูพรุนได้ เหมาะกับงานที่ต้องการการถ่ายเทของของไหลหรือผ่านอากาศ แต่ทว่าข้อจำกัดของวิธีนี้ คือ ต้องใช้ระบบที่ทนต่อแรงดันสูง ใช้ได้กับโลหะบางชนิดเท่านั้น และกระบวนการควบคุมยากกว่าแบบอื่น

การประยุกต์ใช้งานในอุตสาหกรรม

  • อุตสาหกรรมยานยนต์และการบิน: ใช้ในชิ้นส่วนกันกระแทก เบาะนิรภัย โครงสร้างภายในที่ต้องการน้ำหนักเบา
  • อุตสาหกรรมการแพทย์: โฟมไทเทเนียมสามารถนำมาใช้เป็นกระดูกเทียมและอวัยวะเทียม เพราะมีโครงสร้างที่คล้ายกับกระดูกธรรมชาติ
  • อุตสาหกรรมก่อสร้าง: ใช้ในผนังกันเสียง วัสดุกันไฟ หรืออาคารที่ต้องการควบคุมเสียงหรืออุณหภูมิ
  • อุตสาหกรรมป้องกันภัย: ใช้เป็นวัสดุในแผ่นเกราะที่สามารถดูดซับแรงระเบิดได้ดี
  • อุปกรณ์แลกเปลี่ยนความร้อน: โครงสร้าง Open-cell ช่วยเพิ่มพื้นที่ผิวในการถ่ายเทความร้อน
  • อุปกรณ์ทางการแพทย์: โฟมไทเทเนียมสามารถใช้ในการผลิตกระดูกเทียมที่มีรูพรุนคล้ายกระดูกจริง
  • งานศิลปะและตกแต่ง: ด้วยรูปลักษณ์ที่แปลกตา ทำให้โฟมโลหะได้รับความนิยมในงานออกแบบ

ศูนย์ความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีปิโตรเคมีและวัสดุ
อาคารวิจัยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชั้น 7 ห้อง 705/1
254 ซอยจุฬาฯ 12 ถนนพญาไท แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330
  02 2184141-2
  petromat@chula.ac.th