CO2 Tech into Cosmetics Business

เรื่องโดย ณัฐวดี เสริมสุข

เมื่อปัญหาโลกร้อนทวีความรุนแรง การปรับตัวด้านเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมต่างๆ เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม กำลังเป็นประเด็นที่ร้อนแรง ไม่เว้นแม้แต่อุตสาหกรรมที่หลายคนอาจไม่เคยคาดคิดว่าจะเกี่ยวข้องกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยตรง หรือใช้พลังงานมากในการผลิตอย่าง อุตสาหกรรมด้านผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง โดยเบื้องหลังของครีมบำรุงและเครื่องสำอาง กลับซ่อนปัญหาการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไว้มากมาย ตั้งแต่วัตถุดิบที่กว่าจะสังเคราะห์ได้ต้องอาศัยขั้นตอนการผลิตที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมาก กระบวนการที่ใช้พลังงานมากในการผลิตเครื่องสำอาง ไปจนถึงบรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายยาก จึงทำให้ภาคส่วนนี้กลายเป็นหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนสู่ “เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ” ได้อย่างมีนัยสำคัญ

บทความนี้จะพาผู้อ่านไปสำรวจนวัตกรรมด้านความงามที่ไม่เพียงแต่สร้างความเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง แต่ยังมีส่วนช่วยลดการปล่อยคาร์บอนที่น่าจับตามองในยุคปัจจุบัน

เปลี่ยน CO2 ให้เป็นสารตั้งต้นของความงามหรือเลือกใช้วัตถุดิบคาร์บอนต่ำ

หนึ่งในหัวใจของผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำ คือการใช้ส่วนผสมที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อย หรือสามารถผลิตจาก CO2 โดยตรง (Carbon-to-Ingredient) เช่น เอทานอล (Ethanol) และสารลดแรงตึงผิว (Surfactants) เป็นต้น

  • Air Company (สหรัฐอเมริกา): บริษัทได้เปิดตัวน้ำหอม “Air Eau De Parfum” ซึ่งเป็นน้ำหอมรุ่นแรกที่ผลิตจากคาร์บอนรีไซเคิล โดยใช้ Carbon Conversion Reactor ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มีการดึง CO2 จากอากาศมาผสมกับไฮโดรเจน (H2) ที่ผลิตได้จากการแยกน้ำด้วยไฟฟ้าโดยใช้แหล่งพลังงานหมุนเวียน ร่วมกับการใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาเฉพาะของบริษัท เพื่อสร้างเอทานอลบริสุทธิ์สำหรับใช้ในน้ำหอมและผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • Beiersdorf (เยอรมนี): เป็นบริษัทผู้ผลิตแบรนด์ NIVEA ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ NIVEA MEN Climate Care Moisturizer ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ดูแลผิวรุ่นแรกที่ใช้เอทานอลที่ผลิตจากคาร์บอนรีไซเคิลเป็นส่วนผสม โดยใช้กระบวนการเก็บ CO2 ณ แหล่งกำเนิด เช่น ปล่องควันโรงงาน แล้วส่งเข้าสู่เครื่องปฏิกรณ์ชีวภาพ (Bioreactor) ที่ซึ่งก๊าซจะถูกหมักและแปรรูปให้กลายเป็นเอทานอลเกรดเครื่องสำอางเพื่อนำไปใช้ต่อไป
  • CleanO2 (แคนาดา): เป็นบริษัทแรกที่ผลิตสบู่จาก CO2 โดยใช้เทคโนโลยีหลักคือเครื่องจักรที่ชื่อว่า CarbinX™ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ติดตั้งร่วมกับระบบทำความร้อนภายในอาคาร เช่น ระบบเตาแก๊สหรือหม้อน้ำ โดยเครื่องนี้สามารถจับ CO2 ที่ถูกปล่อยออกจากการเผาไหม้เชื้อเพลิง แล้วแปรสภาพให้กลายเป็นเพิร์ลแอช (Pearl Ash) หรือโพแทสเซียมคาร์บอเนต (Potassium Carbonate) ซึ่งทำหน้าที่เป็นสารปรับสภาพน้ำ (Water Softener) แล้วนำมาเติมลงในสบู่ ทำให้สามารถผลิตสบู่ที่สามารถสร้างฟองที่นุ่มนวลได้จาก CO2
  • Carbonwave (สหรัฐอเมริกา-เปอร์โตริโกและเม็กซิโก): บริษัทผู้แปรรูปสาหร่ายซาร์กัสซัม (Sargassum) ซึ่งเป็นวัชพืชในมหาสมุทรที่มีปริมาณมาก ก่อปัญหาต่อระบบนิเวศ และเมื่อเน่าเปื่อยจะปล่อยก๊าซมีเทนออกสู่บรรยากาศซึ่งมีส่วนทำให้โลกร้อน โดยสาหร่ายนี้สามารถนำมาสกัดให้กลายเป็นสารอิมัลซิไฟเออร์ (Emulsifier) อเนกประสงค์สำหรับเป็นสารช่วยเพิ่มความคงตัวในส่วนประกอบของเครื่องสำอาง ด้วยกระบวนการกลั่นชีวภาพแบบเรียงซ้อน (Cascading Biorefinery) ที่เป็นนวัตกรรมล้ำสมัยของบริษัท ทั้งนี้ อิมัลซิไฟเออร์ดังกล่าวสามารถทดแทนอิมัลซิไฟเออร์แบบดั้งเดิมที่ผลิตจากวัตถุดิบประเภทปิโตรเลียม นับเป็นการพลิกโฉมวงการสำหรับนักพัฒนาสูตรเครื่องสำอางโดยเฉพาะ
  • The Unseen Beauty (อังกฤษ): บริษัทเปิดตัวผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ใช้ Algae Black™ ซึ่งเป็นนวัตกรรมจาก Living Ink บริษัทผู้ผลิตเม็ดสีชีวภาพ จากสาหร่ายเหลือทิ้ง โดยนำไปแปรสภาพเป็นถ่านด้วยกระบวนการให้ความร้อนที่อุณหภูมิสูง (Pyrolysis) ได้เป็น Algae BlackTM ที่สามารถใช้เป็นเม็ดสีดำสำหรับอายไลเนอร์ มาสคาร่า และอายแชโดว์ แทน Carbon Black ที่เป็นสารให้เม็ดสีดำแบบเดิมที่ผลิตด้วยกระบวนการเผาไหม้และปล่อย CO2 ในปริมาณมาก
  • Element Beauty Group (สหรัฐอเมริกา): บริษัทได้มีการจับมือกับ Carbon Upcycling Technologies บริษัทจากประเทศแคนาดาเพื่อพัฒนาบรรจุภัณฑ์สำหรับเครื่องสำอาง โดยใช้วัตถุดิบมาจาก CO2 ที่ดักจับจากโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ผสมกับพลาสติกรีไซเคิลหลังการบริโภค (Post-Consumer Recycled Plastic) ร่วมกับใช้สารเติมแต่งประเภทแมกนีเซียมซิลิเกต โดยบรรจุภัณฑ์นี้ใช้จริงกับเครื่องสำอางในท้องตลาดแล้ว นั้นคือแบรนด์ Caliray จากรัฐแคลิฟอร์เนีย

จากความท้าทาย สู่ความเป็นไปได้ใหม่ของอุตสาหกรรมความงาม

แม้เทคโนโลยีที่กล่าวมาจะเปิดประตูสู่นวัตกรรมความงามที่ยั่งยืน แต่ก็ยังเผชิญกับอุปสรรคด้านต้นทุน และข้อจำกัดด้านกฎหมายเกี่ยวกับความปลอดภัยของสารใหม่ รวมถึงความเข้าใจของผู้บริโภคที่ยังไม่แพร่หลาย อย่างไรก็ตาม ด้วยแรงผลักดันจากกระแสความรับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อม และความตื่นตัวของผู้บริโภคยุคใหม่ บริษัทชั้นนำจึงเริ่มลงทุนในเทคโนโลยีเหล่านี้มากขึ้น เพื่อก้าวสู่การลดการปล่อยคาร์บอนของผลิตภัณฑ์ได้อย่างเป็นรูปธรรมในอนาคต

ศูนย์ความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีปิโตรเคมีและวัสดุ
อาคารวิจัยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชั้น 7 ห้อง 705/1
254 ซอยจุฬาฯ 12 ถนนพญาไท แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330
  02 2184141-2
  petromat@chula.ac.th